ค้นหาบล็อกนี้

วันพุธที่ 30 กรกฎาคม พ.ศ. 2557

วิ่ง 10 miles ครั้งแรกในชีวิต Supersport 10 miles 2014 (22-06-57) ^O^

วิ่ง 10 miles ครั้งแรกในชีวิต Supersport 10 miles 2014 (22-06-57) ^O^

ระยะทาง 10 ไมล์หรือ 16 กม. จาก CTW วิ่งไปทางชิดลม วนกลับเข้าถ.วิทยุ วิ่งตรงไปเข้าถ.เพชรบุรี ผ่านพันธุทิพย์ ตรงไปเข้าถ.บรรทัดทอง วิ่งไปเรื่อย ๆ เข้าสุรวงศ์ ผ่านรร.ตะวันนา วิ่งไปออกบางรัก เข้าสีลม พอใกล้ถึงแยกราชประสงค์นึกว่าจะจบ แต่ที่ไหนได้ยังขาดอีก 2 กม. ต้องวิ่งไปกลับตัวตรงหน้าพารากอน วิ่งอ้อมไปเข้าที่จอดรถข้างหลัง CTW แล้วก็กลับตัวออกมาวิ่งผ่านแยกราชประสงค์อีกรอบ แล้วกลับเข้าจุดเส้นชัย หรือจุดสตาร์ท เป็นการวิ่งผ่านสี่แยกเยอะมาก ๆ แต่ละแยกเราต้องสปีดให้ไปเร็วที่สุด เพื่อที่จะได้ไม่ต้องรอรถผ่าน มันสุดยอดมากจริง ๆ นะ กับเส้นทางที่ฉันคุ้นเคยอยู่แล้ว จากการนั้งรถเมล์ผ่านประจำตอนสมัยทำงานประจำ แต่ฉันยังไม่เคยวิ่ง หรือเดินทางด้วยเท้าของฉันเอง

ตลอดเส้นทางการวิ่งฉันวิ่งชิวมากจริง ๆ นะ ตอนกม.แรก ถึง กม. 3 ฉันสปีดได้แค่นี้ เพซ 6.30 เพราะคนเยอะมาก และฉันต้องประมาณแรงว่า ระยะทางที่เหลือฉันจะวิ่งไหวไหม? ฉันไม่อยากแรงตกตอนปลาย ฉันอยากให้มีแรงวิ่งสม่ำเสมอ และไม่เหนื่อยจนทรมาน ซึ่งฉันไม่สามารถบอกได้ว่า ฉันจะรู้ได้อย่างไรว่า จะวิ่งประมาณไหนถึงจะใช้แรงได้พอดี ๆ ฉันวัดจากความรู้สึก และดูจากความเหนื่อยในตอนที่ฉันซ้อม ไม่มีใครบอกฉันได้ นอกจากฉันต้องรู้ด้วยตัวเอง ^O^

ฉันก็ไม่รู้ว่าทำไมฉันถึงวิ่งได้ดีแบบนี้ ทั้ง ๆ ที่จริง ๆ ฉันเป็นคนวิ่งช้ามาก และก่อนมาวิ่งงานนี้ครูดิน Sathavorn Din ให้ฉันวิ่งช้าตลอด ไม่มีวิ่งเร็วเลยจริง ๆ นะ ที่มีเพิ่มเติมคือครูดิน จัดท่าวิ่งให้ใหม่ และฉันสนุกมาก ฉันขำตัวเอง มันสนุกนะวิ่งช้า ๆ และยกส้นตลอด มันโคตรเหนื่อยเลย มันตลกอ่ะ แต่ฉันก็ทำฉันก็วิ่งช้า ๆ แต่ยกส้น มันติดตรงที่ฉันชอบกระโดด แต่จริง ๆแล้ว ฉันไม่ได้ชอบกระโดดหรอก แต่มันกระโดดของมันเองอ่ะ ฉันก็ไม่เข้าใจจริง ๆ นะ 555

 มันทำให้ฉันยิ้มออกทุกครั้งที่วิ่ง เพราะฉันขำตัวเองอยู่ อาทิตย์ที่ผ่านมาฉันฝึกแบบนี้แหละ ฝึกแค่นี้จริง ๆ ชิวมากกก ครูดินให้ฝึกแค่นี้ฉันก็ทำแค่นี้ ครูดินเคยสอนว่าให้ไว้ใจโค้ช โค้ชให้ทำอะไรก็ทำไม่ต้องสงสัย แล้วก็ห้ามทำเกินกว่าโค้ชสั่งด้วย ถ้าเจ็บหรือมีปัญหาอะไรต้องบอกห้ามปิด ฉันเชื่อใจครูดิน ฉันรักครู และฉันก็ซ้อมตามครูบอก ไม่เข้าใจก็ถาม ไม่คิดเอาเอง ไม่เดา เอาชัด ๆ และก็ทำไป

ตลอดเส้นทางการวิ่งฉันง่วงมาก มันเหนื่อยแต่มันง่วง ฉันนอนตอนสี่ทุ่มและตื่นตี 2 ครึ่ง นอนแบบหลับ ๆ ตื่น ๆ ดีที่เขามีเกลือแร่ให้หนึ่งแก้ว อร่อยดีฉันก็เพิ่งจะเคยกินเนียแหละ ปกติกินแต่น้ำเปล่า ก็รู้สึกดีขึ้น ฉันวิ่งชิวมากจริง ๆ นะ ใจฉันคิดแค่ เอาความเร็วเท่านื้ เพซ 6-6.30 อย่าให้ตกก็พอ วิ่งไปเรื่อย ๆ ไม่รีบ ๆ ใครอยากวิ่งกับฉันก็วิ่งไป ตามให้ทันแล้วกัน 555 ใครจะแซงก็แซงไป ฉันวิ่งเต็มที่ได้แค่นี้แหละ 555 แต่ถ้าคนข้างหน้าฉันช้าเกินไป ฉันก็จำเป็นต้องแซง คงไม่ว่ากันนะ ( ยิ้ม ๆ ) ^O^

พอใกล้ถึงแยกราชประสงค์ ฉันดูนาฬิกามันยังขาดอีกตั้ง 2 โล หรือระยะขาด ฉันรีบสปีดเร่งความเร็วของฉันที่เหลืออยู่ ใส่ไปเต็มที่ เพราะเข้าใจว่าจะถึงเส้นชัยในอีกไม่กี่เมตร แต่ที่ไหนได้ เส้นทางยังไม่จบ ฉันต้องวิ่งผ่านสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ไปกลับตัวหน้าพารากอน วิ่งเข้าที่จอดรถ CTW แล้วกลับตัวออกมาแยกราชประสงค์ ฉันใส่ความเร็วไปแล้ว ฉันหยุดไม่ได้ ฉันใส่ไปสุด ๆ เท่าที่ฉันมีเหลืออยู่ แล้ววิ่งกลับเข้าไปที่เส้นชัยหรือจุดปล่อยตัว ฉันไม่สนใจอะไรแล้ว ฉันปล่อยให้ไหลไป ให้ขาฉันไหลไป มันส์สะใจมากจริง ๆ

กม.สุดท้าย ฉันแทบไม่เชื่อตัวเองเลย ฉันสามารถวิ่งต่ำกว่าเพส 5 ได้ ทั้ง ๆ ที่แรงฉันแทบจะหมดแล้ว มันเหลือเชื่อมาก ฉันก็ไม่รู้จริง ๆ ว่าฉันทำได้ยังไง? กับเวลา 4.52.50 นาที ในกม.สุดท้าย มันเร็วสุด ๆ นะ เร็วมากกก ฉันเอาพลังมาจากไหนเนีย? สุดยอดมากจริง ๆๆๆ ยิ้ม ๆ ^O^

หลายคนบอกว่าฉันเก่ง ฉันงงมาก ฉันไม่ได้เก่งเลยจริง ๆ ฉันก็แค่ทำไปตามความรู้สึก แต่สิ่งที่ฉันเรียนรู้เพิ่มเติมคือ ฉันทำตามความรู้สึกได้นะ แต่ฉันต้องมีสติด้วย ต้องรู้และไม่ฝืนตัวเองจนเกินไป แต่ครั้งนี้มันเหลือเชื่อมากอ่ะ ปกติกม.สุดท้ายคือแรงแทบจะไม่มี แต่นี่ฉันยังมีแรง และใส่ไปจนหมดจริง ๆ และไม่ได้หมดสภาพด้วย ฉันหล่ะไม่เข้าใจ 555 ^O^

ขอบคุณสิ่งดี ๆ ที่ทำให้ฉันมีความสุขมากกับการวิ่งงาน Supersport 10 miles 2014 (22-06-57) นี้ ฉันสนุกมากจริง ๆ นะ แม้ฉันจะวิ่งคนเดียวไม่มี pacemaker แต่ฉันไม่เหงาเลย เพราะตลอดเส้นทางก็มีเพื่อน ๆ นักวิ่ง ที่ต่างก็มีความมุ่งมั่น เพื่อวิ่งเข้าเส้นชัยให้ได้ ไม่ต่างจากฉันเลย และเราก็ต่างหวังสร้างสถิติใหม่ให้กับตัวเอง ไม่ได้แข่งกับใคร แต่แข่งกับใจของตัวเอง สู้ ๆ นะทุกคน ^O^

Norarat jeab
23-06-57







ปล.ขอบคุณที่อ่านนะคะ ไม่รู้จะมีใครอ่านหรือเปล่า แต่ขอบคุณมาก ๆ จริง ๆ ขอบคุณจากใจ หวังว่าจะเป็นกำลังใจให้นะคะ

จุดเริ่มต้นที่ทำให้เจี๊ยบสนใจงานวิ่ง ^O^

จุดเริ่มต้นที่ทำให้เจี๊ยบสนใจงานวิ่ง ^O^

เมื่อก่อนไม่เคยคิดหรือชอบวิ่งเลยจริง ๆ แต่เป็นคนชอบเดิน โชคดีที่มีพี่ชวนมางานวิ่ง แต่เราก็ไม่พร้อมจะวิ่ง พอมีพี่ชายชวน เจี๊ยบก็ไปชวนเพื่อนเจี๊ยบอีกที่

เราคุยกันตอน 5 ทุ่ม เจี๊ยบบอกเพื่อนว่ามีงานวิ่งวันพ่อที่สวนลุมนะ ไปกันเปล่า มีวิ่ง 10 โล กับเดิน 1.5 โล เราลงเดินกันเนอะ วิ่ง 10 โลไม่ไหวอ่ะ เพื่อนเจี๊ยบก็ตกลง แต่เราไม่ได้สมัครก่อนนะ เราไปเสี่ยงดูหน้างาน

งานวิ่งมีตอนหกเช้าวันรุ่งขึ้น วันที่ 5 ธค. 56 ชื่องาน Run For King เรานัดกันตี 5.30 เจอกันแถวบ้านแล้วนั่งแท็กซี่ไปสวนลุมกัน เราไปถึงเขากำลังจะปล่อยตัวพอดี เจี๊ยบกับเพื่อนรีบเดินไปจุดลงทะเบียน ตอนแรกเขาบอกไม่รับแล้ว แล้วสักพักเจ้าหน้าที่คุยกันแล้วก็บอกว่าสมัครได้ เราจึงสมัครเดิน 1.5 โล แต่เขาปล่อยตัวออกกันไปแล้ว

 มันมีสองเส้นทาง คือ เส้นทางวิ่ง กับเส้นทางเดิน เราหลงค่ะ แค่ออกตัวเราทั้งคู่ก็หลงทาง เราเจอช่างภาพและช่างภาพก็ถ่ายรูปให้ พอถ่ายเสร็จเราก็เปิดแผนที่ดู ดีที่มีเซฟไว้ แต่ก็ยังมองไม่ค่อยออก ก็เลยกลับมาถามพี่ช่างภาพว่าเส้นทางเดินเขาไปทางไหน แล้วเราก็หาทางเจอ เราเดินกันไปเรื่อย ๆ ชมบรรยากาศยามเช้าของสวนลุม วันนั้นอากาศดีมากเย็นสบาย เจี๊ยบกับเพื่อนก็เดินไปถึงจุดที่วิวสวย ๆ ก็แวะถ่ายรูป เราใช้เวลาทั้งหมดที่เดินประมาณ 45 นาที เพลินและสนุกมาก เรากลับมาเข้าเส้นชัย และแวะทำบุญถวายปิ่นโตให้พระสงฆ์ เสร็จแล้วก็เดินไปชมบูชต่าง ๆ

ในงาน จะมีงานวิ่งต่าง ๆ มาตั้งบูชรวมไปถึงอาหารต่าง ๆ ด้วย เราไปเอาข้าวต้ม กับขนมและน้ำ แล้วก็ไปหาที่นั่งกินกัน ในงานคนเยอะมาก เรานั่งข้าง ๆเวที เวลาที่เขามีการมอบถ้วยให้นักวิ่ง เจี๊ยบก็มองไปที่เวที แล้วก็ยิ้มยินดีไปกับนักวิ่งที่ได้รางวัล พอดีพี่ที่ชวนยังหากันไม่เจอ พี่เขาลงวิ่ง 10 โล แล้วพี่เขาก็โทรมาว่าอยู่ตรงไหน เจี๊ยบก็บอกจุดที่เจี๊ยบกับเพื่อนนั่งอยู่ พี่เขาก็เดินมาแล้วเราก็คุยกันสักพัก และก็แยกย้านกันกลับบ้าน

 ถ้าไม่มีพี่กับเพื่อนเจี๊ยบคนนี้ เจี๊ยบก็คงยังไม่ได้เริ่มวิ่ง แล้วก็คงไม่คิดว่าเจี๊ยบจะสามารถวิ่งได้ขนาดนี้ ปัจจุบันเจี๊ยบวิ่งได้ต่อเนื่องสูงสุด 14 โล วิ่งแบบช้า ๆ ไปเรื่อย ๆ จากเดิมที่วิ่งแค่ 5 นาทีก็เหนือยมากแล้ว และไม่เคยคิดว่าจะวิ่งได้ขนาดนี้ ถ้าเจี๊ยบทำได้เจี๊ยบเชื่อว่าเพื่อน ๆ ก็ทำได้ แค่ลองเปิดใจแล้วเริ่มต้นดู แล้วก็จะได้รับรู้ว่าเรามีศักยภาพมากแค่ไหน ^O^

ปล.ขอบคุณพี่เต๊กกับฝนมาก ๆ ที่ทำให้เจี๊ยบค้นพบว่าเจี๊ยบก็สามารถวิ่งได้ ^O^

Norarat jeab
23-01-57



วันอังคารที่ 29 กรกฎาคม พ.ศ. 2557

ข้อคิดเตือนใจตัวเอง ^O^

ข้อคิดเตือนใจตัวเอง ^O^

"ใจเราจะเข้มแข็ง หรืออ่อนแอ ไม่สำคัญเท่าเราดูแลและปกป้องจิตใจเราแล้วหรือไม่? อย่าคิดว่าเราเข้มแข็งจนจิตใจแข็งกระด้าง และอย่าอ่อนแอจนขาดสติ ทำสิ่งผิด ๆ "

แต่อยู่กลาง ๆ ไม่ว่าจะเจอเรื่องอะไรเข้ามา ที่ส่งผลกับใจเรา อย่าโทษใครเลย เพราะส่วนหนึ่งเราเลือกเองนะ เราก็ต้องยอมรับความจริงให้ได้ อยู่อย่างเข้าใจ และชีวิตจะเป็นสุขขึ้นเยอะ จริง ๆ นะ ^O^

กับบางสิ่งที่เราเลือกไม่ได้ เราทำอะไรไม่ก็ยอมรับความจริงไป ชีวิตต้องเดินต่อไป ถึงความจริงจะเจ็บปวด หรือสุขมากแค่ไหน เราก็ต้องไม่ประมาท อย่าปล่อยตัวปล่อยใจไปตามอารมณ์เด็ดขาด
แต่รับรู้และแยกแยะให้ได้ สิ่งไหนควรทำ สิ่งไหนต้องทำ และสิ่งไหนควรหยุด สิ่งไหนไม่ควรทำ และสิ่งไหนต้องปล่อยวาง

มันอยู่ที่ตัวเราเอง เราจะรู้เอง แต่เรายอมรับได้ไหม ไม่มีอะไรถูกผิด มีแต่ใจเขาใจเรา แค่นั้นเอง ^O^

ยิ้ม ๆ และบอกตัวเองว่า "คนมีความสุขไม่ใช่คนมีอะไรดี ๆ เต็มไปหมด แต่ถึงแม้เจอเรื่องไม่ดีก็ต้องรับมือได้" คำสอนจากพี่อ้อย Napa Julamonchoke

ฉันบอกตัวเองแบบนี้ทุกวัน ชีวิตต้องเดินต่อไป วันนี้ผ่านไปอีก 1 วันแล้ว เป็นกำลังใจให้ทุกคนนะคะ

ฉันไม่รู้ว่าวันนี้ใครต้องเจอเรื่องอะไรมาบ้าง แต่วันนี้ฉันยิ้มทั้งวันเลย ฉันไม่ได้บ้านะ แต่ใจฉันมีความสุขอ่ะ นั่งดูรูปปัจจุบัน กับรูปเมื่อต้นปี ฉันเปลี่ยนไปเยอะจัง มันก็เลยดีใจมาก แค่นั้นเอง^O^

ฉันบอกตัวเองตลอด มันไม่มีอะไรแน่นอนเสมอไปหรอก เมื่อวานนี้ กับวันนี้ก็คนละวันแล้ว เมื่อวานคืออดีต วันนี้คือปัจจุบัน ปัจจุบันคือความจริง อดีตไม่มีแล้ว มีเหลือไว้แค่บทเรียนสอนใจเรา แค่นั้นเอง

อย่าติดกับอดีต จนลืมมองความจริงในวันนี้ อนาคตจะเป็นอย่างไรก็ขึ้นอยู่กับวันนี้ เราเป็นยังไง? อนาคตไม่แน่นอน ปัจจุบันแน่นอนและชัดเจนที่สุด จะอ่อนแอหรือเข้มแข็ง ก็ขอให้อยู่กับปัจจุบัน

ปัจจุบันเราทำดีแล้ว ทำเต็มที่แล้ว เราเลือกแล้ว ที่จะใช้ชีวิตแบบนี้ ผลจะเป็นยังไง เราต้องยอมรับให้ได้ จะดีขึ้น เหมือนเดิม หรือแย่ลง มันก็ขึ้นอยู่กับเรา เราเลือกเองนะ ถูกปล่ะ ?

คิดดี ทำดี พูดดี เชื่อสิ สักวันต้องได้ดีแน่ ๆ ฉันเชื่อแบบนี้ และขอบคุณสิ่งดี ๆ ที่ทำให้ฉันยิ้มได้แบบนี้บ่อยมาก ๆ เลยหล่ะ ^O^

ยิ้ม ๆๆๆ ^O^ กลับบ้านดี ๆ เดินทางปลอดภัย พักผ่อน ๆ นะคะทุกคน

Norarat Jeab
29-07-57


วันจันทร์ที่ 28 กรกฎาคม พ.ศ. 2557

ประสบการณ์ลุ้นสุดชีวิตกับ การวิ่งฮาล์ฟแรกของฉัน (ระยะทาง 21.80 กม.) ที่พัทยา มาราธอน 27-07-57 ตอนที่ 2

ประสบการณ์ลุ้นสุดชีวิตกับ การวิ่งฮาล์ฟแรกของฉัน (ระยะทาง 21.80 กม.) ที่พัทยา มาราธอน 27-07-57 ตอนที่ 2

การวิ่งฮาล์ฟแรกนี้ ฉันออกตัวจากแถวหน้า ๆ เลย ฉันไม่เคยคิดว่าตัวเองจะมาอยู่แถวหน้า ๆ ได้ ช่างกล้ามากจริง ๆ นะเจี๊ยบ ไม่เจียมตัวเองเลย 555 ทำไมฉันถึงคิดแบบนี้น่ะหรอ? ก็แถว ๆ หน้า ๆ อ่ะ มีแต่พวกขาแรง ๆ เท่านั้นที่จะออกตัวจากตรงนั้น แต่ระดับฉันนี่ไม่เคยคิดจะออกตัวจากแถวหน้าจริง ๆ นะ ฉันสู้ไม่ไหวหรอก ^O^

แต่มันจำเป็นเพราะ จุดติดต่อเรื่อง Bib อยู่ติดกับเวที ปล่อยตัวนักวิ่งฮาล์ฟ พอดี และฉันติดต่อเรื่องBib ของฉันอยู่ ด้วยเวลาฉิวเฉียดมากอ่ะ ดีที่ฉันเจอเพื่อนทันเวลาพอดี ตอนนั้นหัวใจฉันบีบและเต้นแรงมาก ฉันไม่ได้ตื่นเต้นกับการวิ่งฮาล์ฟ แต่ฉันลุ้นสุดตัวว่า ฉันจะได้วิ่งหรือเปล่า มันบีบหัวใจมากนะ ถ้าฉันไม่เจอเพื่อนทันเวลา ถ้าเจ้าหน้าที่ไม่มีเบอร์Bib เหลือ ฉันก็คงอดวิ่งแน่ ๆ ให้วิ่งผีฉันไม่ทำเด็ดขาด ฉันถึงลุ้นมาก ๆ ทุกอย่างเป็นเพราะฉันเองหล่ะ ฉันไม่โทษใครทั้งนั้น ก็ฉันประมาทเอง มันก็สมควรแล้ว ฉันจะจำไว้เป็นบทเรียนเลย ไม่เอาแบบนี้อีกแล้ว ตอนนั้นฉันบอกตัวเองแบบนี้ และก็คงเศร้าสุด ๆ  T_T

แต่ในที่สุดนาทีสุดท้าย ฉันก็ได้วิ่งทันเวลาพอดี ทันทีที่ฉันติดหมายเลขBibของฉันเสร็จ ฉันก็รีบแทรกตัวเข้าไปอยู่แถวหน้า ๆ เลย เกือบจะหน้าสุดก็ว่าได้ แต่ตอนนี้ฉันไม่คิดอะไรแล้วทั้งนั้น ฉันต้องวิ่งแล้ว ลืมเรื่องวุ่นวายใจออกไปให้หมด เรามาเพื่อวิ่ง และกำลังจะวิ่ง จะคิดเรื่องอื่นไม่ได้ ต้องตั้งสติสุด ๆ เลย ต้องจับความรู้สึกดี ๆ ต้องตั้งสมาธิแล้ววิ่งออกไป ทำให้เต็มที่ มันก็แค่นั้นเอง ^O^

ฉันออกตัวไปกม. แรก ทำเวลาไปเพซ 5.22 ความรู้สึกฉันบอกว่ามันเร็วไป อย่าพึ่งออกตัวแรงแบบนี้ คือมันก็วิ่งได้นะ แต่ฉันรู้ไงว่า ปลายทางฉันจะไม่เหลือแรงเร่งเลยล่ะ มันจะทรมานมากนะตอนนั้น ฉันไม่อยากหมดสภาพก่อนเข้าเส้นชัย มันไม่เท่เลย ไม่ได้ ๆ ต้องเก็บแรงไว้ ลดความเร็วลงหน่อยก็ได้ ฉันบอกตัวเองแบบนี้แล้วก็ลดความเร็วลง ให้ความรู้สึกสบายขึ้น ไม่เหนื่อยเกินไป และก็ไปเบาเกินไป เป็นความรู้สึกที่สบาย ๆ และกำลังดี เร็วกว่านี้ก็ไม่ได้ ช้ากว่านี้ก็ไม่ได้ ฉันเท่านั้นที่รู้เองว่ามันคือความเร็วระดับไหน ก็ฉันซ้อมของฉันมานิหน่า ฉันก็ต้องรู้สิ ใครก็ไม่รู้ดีไปกว่าตัวฉันหรอก จริง ๆ นะ ^O^

ฉันซ้อมและวิ่งเองมาโดยตลอด ซ้อมตามตารางครูดิน ฉันเชื่อครู ครูให้การบ้านมาฉันก็ทำไป บางทีฉันก็ทำไม่ได้ ทำผิดบ้าง แต่ฉันก็ทำนะ ฉันทำจนฉันจับความรู้สึกนั้นได้ จับจังหวะได้ และก็คุมจังหวะตัวเองให้ได้ก็แค่นั้นเอง สุดยอดวิทยายุทธ์ที่ครูดินถ่ายทอดให้ฉัน ฉันก็อธิบายไม่ถูกอ่ะ มันอาจจะฟรุ๊คก็ได้ ฉันก็ไม่รู้ แต่ฉันขอบคุณครูดิน ถ้าไม่ได้ครูดินช่วยฝึก ช่วยสอน ช่วยปรับ ฮาล์ฟแรกฉันคงไม่ดีเกินคาดขนาดนี้ ขอบคุณครูดินจากใจค่ะ รักครูนะคะ ^O^

กลับมาเข้าเส้นทางวิ่งฮาล์ฟกันดีกว่า ที่พัทยามาราธอน ทางโหดร้ายมากนะ มันไม่ใช่ทางขรุขระ หรือทางลูกรัง มันเป็นถนนเรียบ ๆ นี่หล่ะ แต่ที่ว่าโหดคือ มันมีเนินหลายลูกมากอ่ะ เยอะจนฉันนับไม่ถูก มองไกล ๆ นึกว่าสะพาน พอใกล้ ๆ มันไม่ใช่สะพานนิหน่า มันคือเนินสูง ๆ วิ่งขึ้นโคตรเหนื่อยอ่ะ ถ้าไม่ฟิตจริงนะ หมดสภาพแน่ ๆ บอกเลย ^O^

ฉันคุมสติตัวเองสุด ๆ บอกตัวเองตลอด เจี๊ยบอีกนิดเดียวครบกิโลแล้ว ลุ้นเป็นกิโล ๆ ไป คุมจังหวะตัวเองให้นิ่งที่สุด พยายามรักษาความเร็ว ไม่ให้ตกเยอะ วิ่งไปเรื่อย ๆ ไม่ต้องสนใจ ใครจะแซงปล่อยเขาไป และแต่ละคนก็แซงฉันไป ฉันบอกตัวเองว่าไม่เป็นไร เราต้องคุมความเร็วเท่านี้ก่อน อย่าพึ่งเร่ง ยังไม่ใช่ตอนนี้ เวลานี้เรายังเร่งไม่ได้ แต่เราต้องคุมจังหวะไม่ให้ความเร็วตก คุมเพซให้อยู่ไม่เกิน6-7 นาที อย่าให้ตกกว่านี้ สู้ ๆ เจี๊ยบสู้ ๆ นะ ฉันให้กำลังใจตัวเองตลอด ^O^

บรรยากาศวิ่งฮาล์ฟที่นี่ ทุกคนจริงจังมากนะ อาจเป็นเพราะฉันออกตัวจากแถวหน้า ๆ ก็ได้มั้ง ฉันเห็นทุกคนเต็มที่มากอ่ะ และก็วิ่งไปเรื่อย ๆ ไม่ค่อยเห็นคนเดินนะ มีน้อยมาก ทุกคนตั้งใจมาก ทำให้ฉันตั้งใจไปด้วยและวิ่งเต็มที่ ไม่มีหยุดเลยหล่ะ จะมีชะลอตอนกินน้ำ กับหยุดตอนกินเกลือแร่ แต่กินไม่หมดหรอก ฉันกินไปครึ่งขวด มันเยอะน่ะ อร่อยดีนะ ฉันชอบ แต่ฉันก็กลัวจุก เสียดายนะ แต่ช่างมันเถอะ แล้วก็วิ่งต่อ ^O^

วิ่งมาเรื่อย ๆ เจอคนที่รู้จักฉันก็ให้กำลังใจฉัน บอกเจี๊ยบอดทนนะ วิ่งไป ๆ มีพี่ชายคนหนึ่งวิ่งทันฉันในกม.ที่ 12 พี่ชายวิ่งกับฉันประมาณ 200 เมตร ฉันก็ลดความเร็วและให้พี่ชายแซงไป สักพักฉันก็แซงกลับ เราพลัดกันแซง ฉันสนุกมากเลย และพอเข้า กม.ที่ 17 ฉันค่อย ๆ เร่งความเร็วขึ้นมาเรื่อย ๆ พอเข้ากม.ที่ 19 ฉันมีแรงเท่าไหร่ใส่ไปหมด วิ่งแบบไม่สนใจอะไรแล้ว ค่อย ๆ แซงไปทีละคน แซงไปเรื่อย ๆ ใส่ไปให้สุด ๆ พอครบกม.ที่ 21 แต่ก็ยังไม่ถึงเส้นชัยสักที ฉันฝืนตัวเองไม่ไหวแล้ว ฉันลดความเร็วลงนิดนึง และปลอยให้ไหลไป จนฉันเห็นเส้นชัย ฉันก็ค่อย ๆ เร่งขึ้นไปเรื่อย ๆ และเข้าเส้นชัยในที่สุด มันเป็นความรู้สึกสะใจมาก ๆ นะ ฮาล์ฟแรกฉันทำได้แล้ว และได้เวลาดีกว่าที่คาดไว้ด้วย ที่สำคัญฉันไม่ได้เจ็บตัวเลย มีตะคิวกินตอนยืดเหยียดหลังวิ่งเสร็จ เท่านั้นเอง มันเจ็บมากนะ เส้นตึงสุด ๆ แบบไม่เคยตึงแบบนี้มาก่อน แต่ฉันดีใจมากกว่า ที่ฮาล์ฟแรกของฉันผ่านไปด้วยดี ดีใจที่สุดถึงที่สุด ^O^

ถามว่าฉันจะไปมาราธอนได้ยัง? ยังไม่ได้หรอก ฉันมีเป้าหมายว่าต้องวิ่ง 10 โลให้ได้ต่ำกว่า 50 นาทีก่อน วันนี้ฉันบอกครูไป ครูบอกว่าต้องวิ่งฮาล์ฟให้ได้ต่ำกว่า 1.50 ชม. ด้วย ถึงจะไปวิ่งมาราธอนได้ ฉันจะทำได้ไหมเนีย? แต่ฉันก็จะต้องทำให้ได้ในสักวันหนึ่ง ครูบอกว่า ตอนนี้ขอแค่วิ่งฮาล์ฟจบภายใน 2 ชม. ก็สุดยอดแล้ว ฉันคิดในใจว่า สู้ต่อไปเจี๊ยบ ใจเย็น ๆ สักวัน ฉันจะไปมาราธอน ฉันอยากเปิดตัวมาราธอนแรกที่จอมบึง แต่คงไม่ทันแน่ ๆ จะทำได้ยังไง ให้วิ่ง ได้ตามเป้าหมายภายในสิ้นปีนี้ แค่คิดก็เหลือเชื่อแล้ว แต่ฉันก็จะพยายามต่อไป ปีหน้าไม่ทัน ปีหน้าหน้าก็ได้ 55 สู้ ๆ แค่ไม่ท้อไปสักก่อน สักวันต้องได้ไปหล่ะ ^O^

Norarat Jeab
28-07-57

รูปที่ 1 รูปนาฬิกาตรงจุดปล่อยตัว ถ่ายจากตำแหน่งที่ฉันออกวิ่ง ^O^

รูปที่ 2 รูปเวลารวมทั้งหมดที่ฉันใช้ไป

รูปที่ 3 รูปเวลารวม 21 กม. 


ประสบการณ์ลุ้นสุดชีวิตกับ การวิ่งฮาล์ฟแรกของฉัน (ระยะทาง 21.80 กม.) ที่พัทยา มาราธอน 27-07-57 ตอนที่ 1

ประสบการณ์ลุ้นสุดชีวิตกับ การวิ่งฮาล์ฟแรกของฉัน (ระยะทาง 21.80 กม.) ที่พัทยา มาราธอน 27-07-57 ตอนที่ 1

งานนี้เพราะความประมาทของฉันเองทำให้ฉันต้องลุ้นสุดชีวิต แม้กระทั้งก่อนการแข่งขัน ฉันก็สติแตกดริวผิด ๆ ถูก ๆ และลุ้นระทึกใจมาก ๆ  ทำไมนะหรอ? เดี๋ยวจะเล่าให้อ่านเล่น ๆ นะคะ^O^

ฉันไม่คิดว่าหลังเลิกเรียนภาษาจีนวันเสาร์ 15.30 น. เพื่อนฉันจะนัดเจอกันไกลขนาดนั้น (จากฝั่งธนไปโชคชัย 4 มันไกลมากนะ สำหรับฉัน แต่ฉันก็เลือกเองนะที่จะไปพัทยาตอนเลิกเรียนเสร็จ ฉันเลือกเองที่จะติดรถเพื่อนไป  แต่ในที่สุดฉันก็ไปเจอเพื่อนที่MRT ลาดพร้าว และเพื่อนก็ขับรถจาก โชคชัย 4 มารับ เราเริ่มเดินทางตอน6 โมงเย็น  ในขณะที่ต้องไปรับBibให้ทันก่อน 2 ทุ่ม) ฉันไม่คิดว่าเย็นวันเสาร์รถจะติดขนาดนั้น ฉันไม่คิดว่าฉันจะไปถึงพัทยาไม่ทัน 2 ทุ่ม และฉันไม่คิดว่าจะต้องลุ้นสุดชีวิตขนาดนี้ มันบีบหัวใจสุด ๆ

แต่ฉันเลือกเองนะ ฉันต้องยอมรับมันให้ได้ ฉันบอกตัวเองแบบนี้ และถ้าเกิดเรื่องผิดพลาดที่ทำให้ฉันไม่ได้วิ่งงานนี้ฉันก็จะไม่โทษใคร เพราะมันคือความผิดพลาดที่เกิดจากตัวฉันเอง ฉันแค่ต้องรับมันให้ได้ก็แค่นั้นเอง และต่อไปต้องรอบครอบมากกว่านี้ จะไม่ทำให้ใครวุ่นวายไปกับฉันอีกแล้ว

ตลอดทางที่นั่งรถไปกับเพื่อน ๆ ฉันรู้แน่แล้วว่าเราไปไม่ทันแน่ ๆ เพราะกว่าจะหลุดไปขึ้นทางด่วน รถก็ติดมากอยู่ ฉันเลยไลน์ไปถามเพื่อน ๆ ที่ไปถึงพัทยาตั้งแต่ช่วงบ่ายแล้ว ขอความช่วยเหลือแบบด่วนสุด ๆ ถามว่าทำไมตอนแรกฉันไม่ฝากเพื่อนไปรับ Bib ให้เลยหล่ะ? คือฉันเกรงใจ เพราะการรับ Bib มันวุ่นวายมากนะ ใช่มีแค่ใบคอนเฟริมแล้วจะรับได้เลย มันต้องไปเช็คลำดับ เช็คชื่อ ถ้าฉันฝากไปเอาให้ฉันกับเพื่อนอีก 2 คน ก็รบกวนกันมากอยู่ และที่สำคัญคือ ฉันคิดว่าฉันกับเพื่อนไปถึงพัทยาทันก่อน 2 ทุ่มแน่ ๆ ฉันประมาทเอง นี่คือข้อผิดพลาดของฉันที่จะจำใส่ใจไว้เลย

โชคดีที่เพื่อนฉันที่อยู่พัทยาเห็นข้อความในไลน์ของฉัน ถึงกับวุ่นวายไปกันฉันด้วย ต้องเช็คว่ามีใครพักอยู่แถว ๆ จุดรับ Bib บ้าง เพราะตัวเมืองพัทยาตอนนั้นรถติดมาก ตอนนั้นเพื่อนฉันออกมากินข้าวเย็นกับครูดิน ซึ่งที่พักที่ครูดินพักอยู่ ห่างจากจุดรับ Bib ราว ๆ 6-7 โลกว่า แต่รถติดมาก ขับรถไปไม่ทันแน่ ๆ เพื่อนฉันก็ช่วยหาคนมาช่วยจนได้

คือพี่สาวที่ฉันนับถือมาก ๆ นั่นเอง เหมือนเป็นนางฟ้ามาช่วยชีวิตฉันเลยหล่ะ พี่สาวช่วยเดินจากที่พักออกไปรับ Bib ของฉันกับเพื่อน ๆ ให้ ทันเวลาพอดี และเพื่อนของฉันก็ไปรับ Bib ของฉันกับเพื่อนจากโรงแรมที่พี่สาวฉันพักเก็บไว้ให้ฉัน และจะเอามาให้ฉันกับเพื่อนตอนเช้า ก่อนที่ฉันจะออกตัววิ่ง ในเวลาตี 5.30 เพื่อนช่วยฉันเต็มที่เลย เพราะโรงแรมที่เพื่อนฉันพัก ก็ห่างจากโรงแรมที่พี่สาวพักไกลมากอยู่ แต่เขาก็เดินไปเอามาเก็บไว้ให้ และเขาวิ่งมินิ ออกตัววิ่ง 6 โมงเช้า แต่เขาก็ต้องมาเร็วขึ้นเพื่อ เอา Bib มาให้ฉัน

ฉันซึ้งใจมากที่ทุก ๆ คนช่วยฉันขนาดนี้ ประทับใจสุด ๆ และทำให้ฉันบอกตัวเองว่า ต่อไปจะไม่ประมาทแบบนี้อีกแล้ว มันไม่สนุกนะที่ต้องมาลุ้นสุดชีวิตแบบนี้ ไม่เอาแบบนี้อีกแล้ว และวิ่งงานนี้ฉันต้องเต็มที่ที่สุด เพราะทุกคนช่วยฉันให้ได้ไปวิ่งฮาล์ฟแรก ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น ฉันจะต้องมีสติและทำให้เต็มที่สุด ๆ ไปเลย ^O^

ตอนเช้าก่อนวิ่งเวลาตี 4.30 พวกเราก็ไปถึงจุดปล่อยตัว ทุกอย่างน่าจะเรียบร้อยดี แต่ก็มีเรื่องให้ฉันต้องลุ้นระทึกสุด ๆ เพราะฉันติดต่อเพื่อน (ที่เก็บ Bib ฉันไว้ให้ ) ไม่ได้ ฉันก็วิ่งวอร์มไปมองหาเพื่อนไป ยืดเหยียดไปแต่ตาก็มองหาเพื่อนไป และดริวไปแบบผิด ๆ ถูก ๆ วิ่งสไตร์คไป ๆ มา แต่ก็มองหาเพื่อนตลอด แต่ก็ไม่เจอ โทรศัพท์ก็ติดต่อไม่ได้ จนเหลือเวลาอีกราว ๆ 5 นาที ฉันถอดใจแล้ว ฉันคงไม่ได้วิ่งแน่ ๆ งานนี้ แต่เพื่อนฉันคนหนึ่งที่ซ้อมด้วยกันที่สสส บอกว่าลองติดต่อเจ้าหน้าที่ดู ปัญหาคือฉันไม่ได้เอาใบคอนเฟริมมา แต่โชคดีฉันแคบหน้าจอไว้ เพื่อนฉันคนนี้เดินไปติดต่อเจ้าหน้าที่เป็นเพื่อน ตอนนี้ฉันกลั้นน้ำตาไว้ไม่อยู่ ฉันไม่โทษใครเลยนะ เพราะฉันพลาดเอง ถ้าไม่ได้วิ่งฉันก็ไม่โทษใคร ฉันบอกตัวเองในใจแบบนี้ เศร้าสุด ๆ อ่ะเวลานั้น T_T

เจ้าหน้าที่น่ารักมากอ่ะ ฉันบอกเจ้าหน้าที่ว่าBib หาย และให้ดูรูปใบคอนเฟริมที่ฉันแคบมา เจ้าหน้าที่ก็ไปดูให้ว่ามีเบอร์ฮาล์ฟเหลือเปล่า ใจดีสุด ๆ อ่ะ ฉันประทับใจมาก ^O^

แต่พอดีว่า เพื่อนฉันเห็นฉันพอดีเลย ก็รีบเอาBib ให้ฉันทันเวลาเลย เพราะตอนนั้นเขาใกล้จะปล่อยตัวนักวิ่งฮาล์ฟแล้ว ฉันเลยได้ติด เบอร์ Bib ของฉัน ไม่ต้องรบกวนเจ้าหน้าที่ และรีบเดินไปจุดปล่อยตัวฮาล์ฟและดึงสติกลับมา ลืมเรื่องวุ่นวายใจออกไปให้หมด ตอนนี้ฉันจะต้องไปวิ่งแล้ว ฮาล์ฟแรกของฉัน กับระยะทาง 21.80 โล ฉันจะวุ่นวายใจไม่ได้ ลืมเรื่องทุกอย่างออกไปให้หมด วิ่งให้เต็มที่ ทำให้ดีที่สุด เราซ้อมมาดีแล้ว เราต้องเต็มที่เพื่อครูดิน เพื่อเพื่อน ๆ พี่ ๆ น้อง ๆ ที่ช่วยเหลือฉันทุกคน ช่วยให้ฉันได้มาวิ่ง ฉันจะทำเล่น ๆ ไม่ได้ ต้องเต็มที่เท่าที่ฉันไหวมีเท่าไหร่ใส่ไปให้หมด ฉันจะวิ่งให้ดี วิ่งให้สนุกสุด ๆ งานนี้ ฉันบอกตัวเองแบบนี้ตอนที่ฉันออกตัวไป ^O^

Norarat Jeab
28-07-57

ปล.แล้วจะเล่าให้อ่านเล่น ๆ ว่า ตลอดเส้นทาง 21.80 กม. บรรยากาศการวิ่ง ฮาล์ฟกับมินิ มันช่างต่างกันมากจริงๆ นะ ทุกคนตั้งใจมากอ่ะ ฉันประทับใจมาก และสนุกที่สุดเลย ^O^



วันพฤหัสบดีที่ 24 กรกฎาคม พ.ศ. 2557

แนวคิด ปรัชญา ฉันหล่ะงง ^O^

แนวคิด ปรัชญา ฉันหล่ะงง ^O^

ฉับจบตรีสาขารัฐประสานศาสตร์ มันจะมีวิชาความรู้พื้นฐานการเมืองการปกครองเบื้องต้น ก็จะเรียนปรัชญาต่าง ๆ วิธีคิด ของแต่ละคน

ฉันไม่ค่อยเข้าใจหรอก คิดดูนะ อย่างคำว่า บรูณาการ หรือ คำว่า นิติรัฐ ก็จะมีการอธิบายความหมายจากนักปรัชญาแต่ละคน บางท่านก็ให้ความหมายสอดคล้องกัน บางท่านก็ขัดแย้งกัน ชีวิต! แล้วฉันจะเชื่อใครดีเนีย 555 ^O^

ภาษานักปรัชญามักจะงง ๆ เราต้องตีความ เพื่อเวลาสอบเราจะได้ตอบและอ้างอิงถูก ก็ทำความเข้าใจกันไป

ฉันเป็นเด็กไม่ชอบอ่านหนังสือเลย แต่พอเข้ามหาวิทยาลัยแล้ว มันจำเป็น ไม่อ่านเราจะไม่รู้เรื่อง ก็เลยต้องอ่าน แล้วก็ตอบไปตามความเข้าใจในแบบของเรา อาจารย์คงฮามากกับคำตอบของฉัน คืออะไรที่แว๊บเข้ามาให้หัว ฉันใส่หมด เขียนไปก่อน ดีกว่าไม่เขียนอะไรเลย

ฉันก็เอาตัวรอดมาได้ตลอด แต่ก็มาตกวิชา นโยบายสาธารณะ ติด F ต้องเรียนใหม่ ฉันก็พลาดเองหล่ะ คงตอบไม่โดนใจ หรือไม่ตรงประเด็น ก็เลยต้องลงเรียนอีกครั้งขณะฝึกงานไปด้วย

การได้เรียนวิชานโนบายสาธารณะถึง 2 ครั้ง ทำให้ฉันเข้าใจ และได้เกรด b+ มาได้แบบงง ๆ ^O^

จริง ๆ แล้วหลักการ คือการทำอะไรก็ได้ เพื่อประโยชน์ของคนส่วนใหญ่ เพื่อส่วนรวม เพื่อให้สังคมเป็นสุข เราลงทุนได้ทุกอย่าง ถ้าทำแล้วคนส่วนใหญ่ได้ประโยชน์ และมีความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น รัฐจะต้องทำ และก็ควรจะทำด้วย ถือว่าคุ้มค่า ไม่หวังผลตอบแทนในรูปตัวเงิน แต่วัดจากความเป็นอยู่ของประชาชนที่ดีขึ้น การใช้ชีวิตดีขึ้น ถือว่าคุ้มค่าแล้ว

นโยบายสาธารณะ ไม่เหมือนนโนบายของธุรกิจ มันต่างกันโดยสิ้นเชิงเลยทีเดียวเชียว ผลประโยชน์ขององค์กร กับผลประโยชน์ของประเทศชาติมันเปรียบกันไม่ได้ หลักการบริหารก็ต่างกันแล้ว จริง ๆ นะ ^O^

นโยบายสาธารณะต้องทำเพื่อให้คนในประเทศมีความสุขเพิ่มขึ้น มีความเป็นอยู่ดีขึ้น และเป็นสังคมที่ดีที่เข้มแข็งได้

นโยบายของธุรกิจคือ ทำยังไงก็ได้ให้องค์กรอยู่ได้ประสิทธิภาพ กับประสิทธิผล  ขึ้นอยู่กับองค์กรว่าจะให้ความสำคัญกับอะไร ไม่สนว่าคนในองค์กรจะมีความสุขหรือความเป็นอยู่ยังไง จะถูกกดดันขนาดไหน เราก็ต้องช่วยกัน ทำงานให้เต็มที่และได้กำไรเต็มๆ องค์กรรอดเราก็จะได้ผลตอบแทนคือโบนัส พอใจแล้วแค่นี้ แล้วก็ทำงานกันต่อแบบไร้ชีวิตชีวา ความสุขคือรอลุ้นโบนัสสิ้นปี ^O^

ฉันก็ไม่ใช่คนเก่ง หรือจะเป็นนักปรัญญา ก็คงไม่ได้ ฉันยังอยากพูดภาษาที่คนธรรมดาเข้าใจได้ มันสนุกกว่าเยอะ กว่าที่ฉันจะเข้าใจว่า ประสิทธภาพกับประสิทธิผล มันคืออะไร?  และมันต่างกันยังไง ? ฉันก็มึนสุด ๆ แล้วหล่ะ ชีวิต ! ทำไมมันยากแบบนี้ คนธรรมดาแบบฉันเนีย จะเข้าใจไหมเนีย 55 ^O^

จริง ๆ มันต่างกันตรงที่ตัวชีวัด ที่เขามักเรียกกันว่า KPI ว่าแต่ KPI คืออะไร ? งานเข้าอีกแล้ว 555

ดัชนีชีวัดไง 555 ฉันตอบแบบนี้จะเข้าใจไหม ?

เอาง่าย ๆ ก็ได้ ประสิทธิภาพอ่ะ จะเน้นการทำงานที่ดีที่สุด ทำแล้วได้ผลลัพท์ที่มีคุณภาพสุด ๆ ดีที่สุด ด้วยวิธีการที่ดีที่สุด และใช้เวลาได้คุณค่าที่สุด และเขาจะรู้ว่ามันดีที่สุดหรือไม่? ก็ดูจากดัชนีชีวัดหรือ KPI ไง? ค่าที่ได้ออกมามันจะฟ้องด้วยตัวมันเองหล่ะ ^O^

ส่วนประสิทธิผล ก็คือ จะเน้นที่ผลลัพธ์ ทำแล้วได้ผลลัพธ์ส่งทันเวลา คุณภาพปานกลางก็ได้ แต่เราต้องตรงเวลา มีของส่งทันชัวร์ ทำยังไงก็ได้ให้เสร็จทันเวลา อะไรประมาณนี้

ตามที่ฉันเข้าใจนะ มันก็แค่นี่หล่ะ แต่กว่าจะเข้าใจฉันก็งงอยู่นานเลย 555

สรุปนะ มันก็เป็นแค่หลักการเท่านั้นเอง แต่ถามว่าฉันทำได้ไหม ฉันก็ไม่รู้ 555 ก็มันเป็นหลักการไง ส่วนทำได้หรือไม่มันเป็นอีกเรื่องหนึ่ง และคนส่วนใหญ่ รวมถึงตัวฉันด้วย ไม่ค่อยได้ทำหรอก คิดได้นะ แต่ทำหรือไม่เป็นอีกเรื่อง หรือคนที่คิดไม่ได้เป็นคนทำ ส่วนคนที่ทำก็ไม่ได้คิด ก็มันเป็นแบบนี้จริง ๆ นะ ฉันหล่ะ ฮามาก เอาน่า ขำๆๆๆ นะคะ ^O^

Norarat jeab
25-07-57




เหนื่อยเกินไปหรือเปล่า ^O^

เหนื่อยเกินไปหรือเปล่า ^O^

ใจเราอ่อน ใจเราเจ็บ ใจเราแย่ ใจเราโหยหา ใจเราล้า ใจเราเหนื่อย แต่ใจเราก็วิ่งไม่ยอมหยุด วิ่ง ๆๆๆๆ วิ่งไปหาเรื่องอะไรก็ไม่รู้ และเราก็แย่เอง ยิ่งเราห้าม ใจเราก็ไม่เคยจะฟัง ยิ่งเราปลอบใจเราก็ดื่อดึง

งันก็ปล่อย ๆ ใจไป ให้เจ็บสุด ๆ แย่สุด ๆ เหนื่อยสุดๆ ให้มันสุด ๆ เลย จนเรารู้ว่ามันก็แค่นั่นอ่ะ หยุดเถอะ กลับมามองตัวเอง กลับมาสนใจตัวเอง กลับมาดูแลตัวเองดี ๆ มีความสุขกับสิ่งที่มี ค่อย ๆ ทำ เราไม่ได้หยุดนิ่ง แต่เราหยุดใจ เราพักใจ เราหยุดโหยหา และหันมามองสิ่งที่เรามี ^O^

เรามีอะไรดี ๆ ตั้งเยอะ เรามีลมหายใจ เรามีขา 2 ข้าง เรามีแขน เรามีมือ เรามีแรง เรามีสมอง เรามีหัวใจที่ยังเต้นเป็นปกติ เราสร้างอะไรดี ๆ ได้นะ เราค่อยๆ เรียนรู้ได้ เราไม่เก่ง แต่เราไม่ได้คิดไม่เป็น เราคิดได้นะ เราฝันได้ เรามีจินตนาการ เราก็ค่อย ๆ ทำไป ทำไม่ได้วันนี้ใช่ว่าจะทำไม่ได้ตลอดชีวิตสักหน่อย ถูกเปล่า ? ^O^

จำตอนที่เราเป็นเด็กได้ไหม เราเกิดมาแล้วเดินได้เลยไหม? เราเกิดมาแล้วพูดได้ 5 ภาษาเลยไหม?
เราเกิดมาแล้วคิดเลขเป็นเลยไหม?
เราเกิดมาแล้วเขียนได้เลยไหม?

เราเกิดมาก็ร้องไห้ หิวก็ร้อง ความรู้สึกที่แสดงออกได้คือ ร้องไห้ ยิ้ม นอน เราทำได้แค่นี้เราสื่อสารได้แค่นี้จริง ๆ แต่เราก็เรียนรู้เพื่อให้เรารอด เราเรียนรู้ความรัก ตั้งแต่เราเป็นเด็กเล็ก ๆ เราก็รักเป็นแล้ว เราเรียนรู้ที่จะเรียกร้องด้วยการร้องไห้ เราเรียนรู้เรื่องการจำจด เราสังเกต แล้วเราก็ได้แต่มองว่าเขาทำอะไรนะ เราพูดไม่เป็น เราก็ไม่รู้ว่าจะพูดยังไง คอเรายังอ่อน ๆ กระดูกเรายังไม่แข็งเลย เราทำอะไรไม่ได้สักอย่าง แต่เราก็รู้สึกดีทุกครั้งที่มีคนมาอุ้มเรา เราจะไม่ยอมให้วางเด็ดขาด ลองวางสิ เราจะร้องไห้ทันที ^O^

เราเรียกร้องและเราก็ได้รับความรัก ความอ่อนโยนจากพ่อแม่ เราสัมผัสได้ ไม่ว่าเราจะทำอะไร ท่านก็เอ็นดูเรา ท่านไม่เคยโกรธเลย และเราก็มีความสุขมาก และติดพ่อแม่มากกว่าใคร ๆ ^O^

แต่พอโตขึ้น เราลืมไปหมดแล้ว เราจำไม่ได้ด้วยซ้ำ เราจำไม่ได้ทุกสิ่ง ๆ มันลืมไปตามเวลา แต่พ่อแม่เราก็มองว่าเราเป็นเด็กตลอดไม่ว่าเราจะโตแค่ไหน ท่านก็รักเรา และไม่เคยทิ้งเราแน่ ๆ แต่ทำไมความรู้สึกเราถึงเปลี่ยนไปเราลืมความรักดี ๆ นี้แล้วหรอ?

เราโหยหาอะไร เราตามหาอะไรอยู่ แล้วเราก็ต้องเจ็บซ้ำ ๆ เพราะเราไปคาดหวังกับอะไรกัน แล้วมันจะทำให้เรามีความสุขจริงหรอ? เรามีความสุข แต่เราก็ทุกข์ เพราะเราไม่รู้อะไรสักอย่าง

เราเฝ้ารอ รอ รอ รอ แล้วเราก็ห่อเหียว เหงา และเหนื่อยใจ และก็อ่อนล้าจนแทบหมดแรง แต่ใจเราก็ไม่เคยจะหยุด และกลับมามองที่ตัวเราเองเลย จริง ๆ แล้ว รักดี ๆ ทำได้ง่าย ๆ แค่กลับมารักตัวเองไง กลับมาทำให้ใจเรามีความสุข ให้ใจเรายิ้ม ให้เรารู้สึกเป็นเด็กอีกครั้ง ให้เราสดใสจากข้างใน ไม่ใช่ไขว่คว้าอะไรจากภายนอก

ลองฟังเสียงใจตัวเองดี ๆ ลองทำเรื่องดี ๆ ที่เราไม่เคยคิดว่าจะทำได้ แต่ใจเราอยากทำ และดูว่าสิ่งนั้น มันไม่ได้ทำร้ายใคร ไม่ได้สร้างปัญหาให้ใคร แต่มันทำให้เราสนุก เราท้าทาย เราเข้มแข็ง และให้เรารู้ว่า เราก็มีจุดยืนของเรานะ เราก็เป็นคน ๆ หนึ่งที่อยู่ในสังคมนี้ สังคมดี ๆ ที่เราได้พบเจอ และเราก็เป็นคนดีคนหนึ่งที่อยู่ในสังคมนี้ มันก็แค่นั้น

เราไม่ต้องรอให้ใครมาเข้าใจเราก็ได้ บางทีเรายังไม่เข้าใจตัวเองเลย เรายังไม่เข้าใจใครด้วยซ้ำ แต่เรารับได้ เรารับเขาได้ที่เขาเป็นแบบนี้ ไม่มีใครสมบรูณ์แบบหรอก ถ้าทุกอย่างสมบรูณ์แบบ คงไม่ต้องมีการพัฒนาอะไรแล้ว อย่าเรียกร้องอะไรจากใครเลย เรายื่นได้ด้วยตัวเองมันภูมิใจกว่าเยอะ

ทุกอย่างอยู่ที่ตัวเรา เราเลือกได้นะ คนทุกคนมีคุณค่า เรามีความสามารถกันทุกคน เกิดเป็นคนได้นี้ถือว่าโชคดีแล้ว ยิ่งได้เกิดในครอบครัวที่ดี ไม่จำเป็นต้องมีเงินเยอะจนล้นฟ้า ไม่ต้องมีอำนาจมากขนาดใคร ๆ เกรงกลัว ไม่ต้องมีบ้านหลังใหญ่ 20 ห้องนอน แค่มีครอบครัวที่อบอุ่น มีคนที่เรารักอยู่ด้วยกัน มีบ้านหลังเล็ก ๆ ที่เราอยู่กันแบบพอเพียง มีรถคันเล็ก ๆ ที่พาพวกเราไปที่ต่าง ๆ ด้วยกันได้ มีเงินพอใช้ซื้อของที่เราอยากได้ มีสุขภาพที่แข็งแรงทั้งกายและใจ มีเวลาทำอาหารดี ๆ ด้วยกัน มีเวลาไปวิ่ง ไปเรียนรู้สิ่งต่าง ๆ และ ได้ทำสิ่งต่าง ๆ ที่เราชอบ มีสังคมดี ๆ ที่ทุกคนจริงใจต่อกัน พูดคำไหนคำนั้น ไม่ต้องอธิบายเยอะ แค่นี้ก็มีความสุขที่สุดแล้ว

ถ้าฉันเลือกได้นะ ฉันก็ขอแค่นี้แหละ แค่นี้ก็เป็นความสุขที่สุดของฉันแล้วหล่ะ ^O^

Norarat jeab
24-07-57


วันอังคารที่ 22 กรกฎาคม พ.ศ. 2557

ชีวิตนี้สั้นนัก ^O^

ชีวิตนี้สั้นนัก ^O^


เขาว่ากันว่า ชีวิตนี้สั้นนัก ว่าแต่เขาคือใคร? และใครคือเขาคนนั้น ใครนะ ใครกัน ? ^O^

ความจริงอย่างหนึ่งที่เราทุกคนก็รู้ ๆ กันดีอยู่แล้วว่า เราทุกคนยังไงก็ต้องตาย ไม่วันใดวันหนึ่งเราก็ต้องตาย และเราทุกคนหนีความตายไม่พ้น ยังไงก็ต้องตายอยู่ดี จริงปล่ะ ? ^O^

ฉันก็เป็นคนหนึ่งที่กลัวตาย และฉันก็ยังไม่อยากตาย ถึงแม้ว่าจะรู้ดีว่ายังไงก็ต้องตาย แต่ฉันก็ยังไม่อยากตายตอนนี้จริง ๆ นะ ^O^

ถ้าเลือกได้ฉันอยากนอนหลับ และก็จากไปแบบไม่เจ็บปวด เมื่อถึงเวลานั้น ฉันก็อยากจากไปแบบสงบ บนเตียงนอนที่ฉันนอนประจำ ในบ้านของฉัน และจากไปแบบที่ได้ทำอะไรเต็มที่ หรือใช้ชีวิตคุ้มค่าแล้ว ถ้าเลือกได้นะ ฉันขอตายแบบนี้หล่ะ ^O^

แต่ความจริงคือ ฉันเลือกไม่ได้ ฉันไม่รู้ว่าจะจากไปวันไหน? และฉันจะจากไปยังไง และจะเจ็บไหม? จะทรมานไหม? แล้วตายแล้วฉันต้องไปที่ไหน? ฉันจะได้เกิดมาอีกไหม? และฉันจะได้เจอครอบครัวที่ฉันรักอีกไหม? ฉันไม่รู้เลย และฉันก็กลัวมากจริง ๆ นะ ฉันไม่อยากตายเลยจริงๆ

ถึงยังไงฉันก็ต้องตาย งั้นฉันขอทำอะไรดี ๆ เถอะ ฉันขอทำสิ่งที่ฉันอยากทำ ฉันอยากเต็มที่ที่สุด ถึงฉันจะขี้เกียจก็ตาม แต่ฉันก็ต้องทำ นี่อาจเป็นวันสุดท้ายในชีวิตฉันก็ได้ใครจะรู้ ขอเถอะ ขอให้ฉันทำให้สุด ๆ เลย มันก็แค่นั้น

ฉันขอทำให้คนที่ฉันรักมีความสุข ฉันขอทำให้ตัวฉันมีความสุข ฉันขอทำสิ่งดี ๆ และก็ทำเรื่องดี ๆ ให้ฉันได้เห็นว่า เออว่ะ ฉันก็ทำได้นิหว่า ไม่เห็นจะยากเลย 555 ^O^

การจะใช้ชีวิตให้มีความสุข มันก็อยู่ที่ตัวฉันเองเนียหล่ะ ฉันจะเลือกมองมุมไหน และฉันจะทำยังไงให้อารมณ์ดี และใจฉันยิ้มได้ สุขที่เกิดจากใจ มันก็แค่นั้น ^O^

บางทีฉันก็หลุดหงุดหงิด หลุดโมโห เพราะไม่ได้อย่างใจ แต่มันก็ทำอะไรไม่ได้นิ โมโห หรือหงุดหงิดไปก็เท่านั้น ที่สำคัญ ถ้าฉันโมโห ฉันหงุดหงิดบ่อย ฉันจะแก่เร็ว ฝ้าขึ้น และสิวก็ขึ้นเยอะด้วย เพราะตับทำงานหนัก มันคือความจริงนะ ไม่ได้แล้วหล่ะ ฉันไม่อยากแก่ และไม่อยากให้สิวและฝ้าขึ้นเลย ให้ตายสิพับผ่า ^O^

ดังนั้น ถ้าฉันไม่อยากแก่ ไม่อยากให้สิวและฝ้าขึ้น ฉันต้องอารมณ์ดี ไม่โมโห ไม่หงุดหงิด ไม่อารมณ์ร้อน และใจเย็น ๆ มองทุกอย่างแบบปลง ๆ เอาเถอะช่างมัน ไม่เป็นไรนะ ฉันบอกตัวเองแบบนี้แหละ และเรื่องบางเรื่อง อารมณ์เสียไปก็เท่านั้น เราจะแย่เอง ไม่เป็นไร ๆ ท่องไว้ มันก็แค่นั้น 555 ^O^

สุดท้าย ถ้าใครมีอะไรที่อยากทำ และยังไม่ได้ทำก็รีบทำเถอะ จริง ๆ มีหลายสิ่งที่ฉันอยากทำ และยังไม่ได้ทำ แค่คิดก็เหนื่อยแล้วอ่ะ ก็เลิกคิดแล้วก็ลงมือทำซะเจี๊ยบ แค่นั้นเอง ^O^

Norarat jeab
22-07-57

ตัวเลขก็เป็นเพียงตัวเลข

ตัวเลขก็เป็นเพียงตัวเลข


ฉันเคยมีความกังวลกับตัวเลข ^O^

 เมื่อก่อนฉันจะกังวลมาก ไม่ว่าจะเป็นตัวเลขน้ำหนัก ตัวเลขอายุ ที่เพิ่มขึ้น ๆ ทุกวัน และถ้ามันยิ่งเพิ่มขึ้น ก็หมายความว่าฉันจะเป็นคนสูงวัยที่อ้วน ๆ ด้วย ตาย ๆ ฉันไม่อยากเป็นแบบนั้น

 ฉันไม่อยากเป็นคนแก่ ๆ อ้วน ๆ และเดินไม่ไหว ฉันไม่อยากเป็นคนแก่ ๆ อ้วน ๆ ที่ต้องให้ลูกหลานจับฉันใส่รถเข็นและพาไปเที่ยว ฉันไม่อยากเป็นคนแก่ ๆ อ้วน ๆ ที่ต้องอยู่แต่ในบ้านและรอลูกหลานมาหา ไม่เอา ไม่เอา ฉันไม่อยากเป็นแบบนั้น

 ฉันอยากเป็นคนแก่ที่สุขภาพดี ฉันอยากเป็นคนแก่ที่ช่วยเหลือตัวเองได้ ฉันอยากเป็นคนแก่ที่มีเพื่อนและมีสุขภาพดีเหมือน ๆ กัน มานั้งจิบน้ำชาคุยกันหลังออกกำลังกายเสร็จ

 ฉันต้องเปลี่ยนแปลง ฉันต้องเปลี่ยนพฤติกรรมตัวเอง ฉันต้องปฏิวัติฉันจะไม่ยอมใจอ่อนอีกแล้ว ไม่เอา ไม่เอา

เมื่อฉันคิดได้แบบนี้ ฉันก็ค่อย ๆ เปลี่ยน ฉันเลือกกินมากขึ้น ฉันไม่ได้อดอาหารแต่ฉันเลือก และถ้าฉันอยากกินอาหารต้องห้ามฉันก็กินนะ แต่จะไม่กินบ่อย ๆ ฉันไม่อยากเสพติดอาหารหวาน ๆ ทอด ๆ มัน ๆ อีกแล้ว แต่ถ้าฉันอยากกินจริง ๆ ฉันก็กิน เป็นการให้รางวัลตัวเอง ฉันชอบเรียกว่าตบะแตกนั่นเอง ก็มันอร่อยจริง ๆ ฉันอดใจไม่ไหว เอาน่าความสุขเล็ก ๆ แต่อย่าบ่อยเกินไปหล่ะ เดี๋ยวจะหาว่าไม่เตือน

 เริ่มแรกฉันยังเปลี่ยนพฤติกรรมการกินไม่ค่อยได้หรอก ฉันเริ่มจากการลดปริมาณอาหาร และออกกำลังกายหนัก ๆ ผลคือฉันผอมจริง แต่มันโทรมนะ มันไม่สดใส และมันไม่มีความสุข และถ้าทำแบบนี้ต่อไปกล้ามเนื้อก็เล็กลงด้วยเพราะถูกดึงพลังงานมาใช้งานหนัก ไขมันไม่ค่อยลดนะ

ถามว่าฉันรู้ได้ไง ไม่เห็นจะยากเลย มันเป็นอะไรที่ง่ายมาก ออกกำลังกายเยอะกินน้อยแล้วร่างกายจะเอาแรงมาจากไหนจริงปล่ะ ? ^O^

 เดี๋ยวนี้ฉันเปลี่ยนไปแล้ว ฉันเลือกกินให้ครบห้าหมู่ เน้นโปร์ตีน กับคาร์โบ เพราะฉันวิ่งหนัก ฉันใช้พลังงานเยอะ และฉันไม่อยากโทรม ^O^

 เดี๋ยวนี้ไม่มีใครเชื่อว่าฉันอายุ 31 และหนัก 59 กก. มีแต่คนบอกทำไมฉันดูเด็ก และผอม ฉันก็ไม่รู้เหมือนกัน ฉันไม่สนใจตัวเลขของอายุและน้ำหนักแล้ว เพราะมันไม่มีความสำคัญอะไรแล้ว ขอแค่ฉันสุขภาพดี ดูเด็กกว่าอายุจริง และมีความสุขกับการวิ่งและออกกำลังกายมันก็แค่นั้นเอง ^O^

Norarat Jeab
9-06-57

ความภูมิใจ

ความภูมิใจ



สิ่งที่ฉันได้เรียนรู้จากการผิดหวังซ้ำ ๆ เจ็บแบบซ้ำ ๆ และเหนื่อยล้าจากเรื่องเดิม ๆ

 ในทุก ๆ เรื่องราวที่ผ่านเข้ามาในชีวิตฉัน ไม่ใช่เฉพาะเวลาที่ฉันผิดหวังจากเรื่องความรักเท่านั้น แต่ในเรื่องของการเรียนโท หรือการมองไปอนาคตข้างหน้าของตัวฉันเอง มันทำให้ฉันเครียด

 ฉันเคยเป็นคนอมความทุกข์ ฉันเคยเป็นคนหวาดกลัวสิ่งต่าง ๆ ฉันเคยเป็นคนไม่เชื่อใจใคร และฉันก็กลัวการถูกทอดทิ้งให้อยู่เพียงลำพัง แต่ยิ่งฉันหวาดกลัว ยิ่งหวาดระแวง ยิ่งเครียดกับเรื่องต่าง ๆ มากมาย ฉันกลับรู้สึกโดดเดียว ไร้ความหวัง และกายเป็นคนขาดความเชื่อมั่น กายเป็นคนโลเล กายเป็นคนอ่อนแอ

 แต่ฉันไม่เคยย่อท้อ ฉันสู้จนถึงที่สุด สิ่งเดียวที่ทำให้ฉันมีแรงสู้ในตอนนั้นคือกำลังใจ กำลังใจจากครอบครัว กำลังใจจากน้อง ๆ เพื่อน ๆ พี่ ๆ ที่เรียนด้วยกัน เป็นสิ่งเดียวที่ทำให้ฉันมีแรงสู้ต่อ

 มันยากมากนะ สำหรับฉันมันยากมาก เพราะสาขาที่ฉันเลือกเรียนฉันไม่เคยมีพื้นฐานมาก่อน ฉันไม่เคยเรียนวิทยาศาสตร์ หรือ ไอทีมาก่อนเลย ฉันเรียนแต่จบด้านรัฐประศาสนศาสตร์ ด้านสื่อสารมวลชนมาก่อน ซึ่งฉันกลับสนใจและเลือกศึกษาต่อโททางด้านไอที บวก ธุรกิจนิดหน่อย  มันทั้งสนุกและกดดันฉันมาก

 ฉันได้เรียนรู้อะไรมากกว่าสิ่งที่ฉันคาดคิดไว้  มันยากมากอ่ะ ฉันตามอาจารย์แทบไม่ทัน แต่ฉันโชคดีได้น้อง ๆ เพื่อน ๆ พี่ ๆ ที่เรียนช่วยไว้ เกือบไม่รอด สำหรับฉันมันโหดร้ายมาก แต่ฉันก็ต้องขอบคุณตัวฉันเองที่พยายามจนเรียนจบได


้ ฉันได้เรียนรู้อะไรมากกว่าความรู้ทางวิชาการ และยังได้เรียนรู้ในเรื่องของการฝืนทำในสิ่งที่ฉันกลัว ฉันกลัวเรียนไม่จบ แต่ฉันก็ฝืนตัวเองเรียนจนจบ

 ฉันโคตรดีใจเรียนตอนที่รู้ว่าฉันสอบผ่านภาษาแล้ว ถึงคะแนนจะไม่สวย แต่ฉันหวังแค่ได้เพียงผ่าน ฉันก็ดีใจแล้ว และฉันก็ทำได้ 510 คะแนน เกณฑ์ผ่านคือ 500 มันดีใจแบบบอกไม่ถูก

 แต่พอฉันสอบคอมพรีผ่านฉันโคตรดีใจเลย ดีใจที่สุดในชีวิต เพราะสำหรับฉันการสอบคอมพร ียากกว่าสอบภาษาอังกฤษอีก เพราะเป็นการเอาความรู้ที่เรียนมาทั้งหมด มาสอบ


มันยากมาก แต่พี่ ๆ เพื่อน ๆ น้อง ๆ ส่วนใหญ่จะรู้สึกว่าภาษาอังกฤษยากกว่า แต่ฉันชอบภาษาอังกฤษ  ฉันเคยกลัวภาษาอังกฤษมาก ๆ นะ แต่ตอนนี้ฉันชอบมาก

 การเรียนโทสอนให้ฉันกล้าทำในสิ่งที่ฉันกลัว และพอฉันทำได้สำเร็จ มันทำให้ฉันภูมิใจในตัวเองมาก ๆ ทำให้ฉันรู้ว่า ถ้าฉันตั้งใจทำจริง ๆ ฉันก็ทำได้นะ

 ตอนนี้ฉันดีใจและภูมิใจในตัวเองมาก ๆ ฉันไม่ได้อ่อนแอ และหวาดกลัวเหมือนแต่ก่อน เพราะฉันรู้แล้วว่า ฉันมีศักยภาพมากพอไม่ได้น้อยไปกว่าใคร ฉันดีใจและนับถือตัวเองที่สุด ขอบคุณนะเจี๊ยบ ขอบคุณจากใจ ^O^

Norarat Jeab
29-05-57

วิ่งด้วยใจ

วิ่งด้วยใจ

ในทุกเช้าที่ผ่านมา ถ้าเป็นเมื่อก่อนฉันคงนอนหลับสบาย นอนหลับสนิทและไม่อยากตื่น ไม่อยากลุกจากที่นอน ไม่อยากทำอะไรทั้งสิ้น

แต่เมื่อเวลาล่วงเลยผ่านไป จนฉันได้เจอจุดเปลี่ยนในชีวิต ในวันหนึ่งฉันก็บอกกับตัวเองว่า ฉันจะตื่นเช้า ๆ ฉันจะออกไปวิ่ง และฉันจะวิ่งทุกวัน ฉันบอกตัวเองแบบนี้ บอกตัวเองให้ดัง ๆ ให้ดัง ๆ ไปถึงหัวใจ ฉันจะวิ่งเพื่อตัวฉันเอง ฉันจะวิ่งเพื่อไปให้ถึงฝัน ฉันจะวิ่ง ฉันต้องทำได้ ฉันบอกตัวเองแบบนี้ แล้วฉันก็เริ่มทำ

เรื่องมหัศจรรย์ก็เกิดขึ้นกับฉัน ฉันตื่นได้ฉันตื่นเช้าได้ ฉันตื่นได้โดยไม่ต้องพึ่งนาฬิกา ฉันวิ่งได้ ฉันวิ่งได้โดยไม่หยุดเดิน ฉันวิ่งช้า ๆ ฉันวิ่งต่อเนื่องจากที่เดินสลับวิ่ง ฉันก็ลองวิ่งช้าแบบต่อเนืองและยาวนาน มันไม่เห็นยากเย็นแบบที่ฉันเคยคิด ที่ฉันเคยกลัวและคิดมาตลอดว่าฉันทำไม่ได้หรอก มันเป็นไปไม่ได้ แต่เมื่อฉันได้ทำ มันทำให้รู้ว่า ฉันคิดผิดมาตลอด จริง ๆ ฉันทำได้นะ ฉันทำได้ ฉันทำได้จริง ๆ ด้วย ฉันไม่รู้มันเกิดขึ้นได้อย่างไร

แต่ฉันก็ได้ทำไปแล้ว ฉันว่าฉันวิ่งด้วยใจ ฉันบอกใจตัวเอง แล้วฉันก็เชื่อใจตัวเอง แค่ลองเชื่อใจตัวเองดูสักครั้ง ลองทำในสิ่งที่คิดว่าเราทำไม่ได้ ก็แค่ทำตามใจอยาก ทำตามใจฝัน ทำตามความหวัง หวังว่าสักวันฝันจะเป็นจริง^O^

Norarat Jeab
28-05-57

การมาและการจากไปของพุงกะทิ

ฉันกับพุงกะทิเคยเป็นเพื่อนกันมานานมาก แต่ฉันอึดอัดเสมอที่พุงกะทิติดฉันตลอด พุงกะทิไม่ยอมจากฉันไปไหนเลย

เราอยู่ด้วยกันมาตั้งแต่ฉันเป็นเด็ก พุงกะทิค่อยๆ ใหญ่และโตขึ้นเรื่อย ๆ ในขณะที่ฉันไม่ชอบเลย ฉันอึดอัดเหมือนพุงกะทิจะรักฉันมาก และฉันเองก็ไม่พยายามตัดขาดกับพุงกะทิอย่างถาวร

ฉันเคยตัดขาดกับพุงกะทิได้มาแล้วครั้งหนึ่งตอนที่ฉันเล่นไอคิโด ฉันใช้พลังงานเยอะมาก จนพุงกะทิทนไม่ไหวจึงยอมจากฉันไป ฉันมีความสุขมากช่วงนั้น

ฉันรู้สึกฉันเป็นอิสระและทำอะไรได้คล่องตัว จนกระทั่งวันนึงพุงกะทิก็กลับมาหาฉัน ฉันเข้าใจนะเพราะฉันอ่อนแอเอง ฉันจึงไม่สามารถตัดขาดกับพุงกะทิได้ ฉันใจอ่อนไม่ยอมออกกำลังกาย และปล่อยตัวปล่อยใจตามใจปาก จึงเปิดโอกาสให้พุงกะทิกลับมาอีกครั้ง มันเป็นความผิดฉันเอง

แต่ฉันไม่ได้ชอบพุงกะทิเลย ฉันอึดอัดทุกครั้งที่เราอยู่ด้วยกัน ฉันทำอะไรไม่ค่อยถนัด มันขาดอิสระ แต่ฉันก็ได้แต่แอบหวังเล็ก ๆ ว่าพุงกะทิจะจากฉันไปอีกครั้ง

แต่ครั้งนี้ดูเหมือนจะยากกว่าครั้งก่อน เหมือนพุงกะทิจะไปยอมจากฉันไปง่าย ๆ หรือบางทีเพราะฉันยังใจแข็งไม่พอ ฉันยังตัดใจจากของหวาน ๆ และอาหารอร่อย ๆ มัน ๆ ทอด ๆ ไม่ได้ มันทำใจได้ยากมากจริง ๆ นะ ก็ฉันชอบกินไปแล้ว ฉันจำรสชาติความอร่อยได้ไม่มีวันลืม มันยากมาก ยากมากจริง ๆ

แต่ฉันอึดอัดที่พุงกะทิเกาะติดฉันไปทุกที่ ฉันอยากให้เราจากกันด้วยดีและไม่ต้องกลับมาหาฉันอีก ฉันจริงจังนะ

และฉันก็มาพบกับการวิ่ง การวิ่งเหมือนเป็นพระมาโปรดให้กับชีวิตฉัน ฉันกับการวิ่งเคยเกลียดกันมาก่อน เพราะการวิ่งทำให้ฉันเหนื่อยมาก และเจ็บปวดทุกครั้ง ฉันไม่ชอบการวิ่งเลย

แต่แล้ววันหนึ่งความรู้สึกฉันก็เปลี่ยนไป เมื่อเราเริ่มศึกษากันอย่างจริงจัง ฉันค่อย ๆ รักการวิ่งเพิ่มขึ้น ๆ ทุกวัน

เราเริ่มสนิทกันมากขึ้น ฉันค่อย ๆ เรียนรู้ ค่อย ๆ ปรับตัวเข้าหาการวิ่ง ฉันก้าวไปช้า ๆ เรียนรู้การวิ่งอย่างถูกวิธี จนตอนนี้ฉันตกหลุมรักการวิ่งไปแล้ว และพุงกะทิก็คงทนไม่ไหว และค่อย ๆ จากฉันไปเอง

ตอนนี้ฉันเริ่มจริงจังกับการวิ่ง แต่ฉันจะไม่รีบร้อน เราจะเรียนรู้กันไปอย่างช้า ๆ ฉันอยากอยู่กับการวิ่งไปนาน ๆ และฉันหวังว่าการวิ่งกับฉันจะไม่จากกันไปไหนอีก

พอกันทีกับพุงกะทิ ถึงแม้เราจะอยู่ด้วยกันมานาน แต่เมื่อมันไม่ใช่ก็คือไม่ใช่ หวังว่าพุงกะทิจะเข้าใจและไม่กลับมาหาฉันอีก และฉันจะจริงจังกับการวิ่ง

แต่ฉันก็ไม่รู้ว่าเราจะอยู่ด้วยกันไปอีกนานแค่ไหน เพราะอนาคตเป็นเรื่องไม่แน่นอน แต่ฉันจะดูแลตัวเองดี ๆ ฉันจะยืดเหยียดก่อนและหลังวิ่งทุกครั้ง และหวังว่าเราจะอยู่ด้วยกันไปนาน ๆ

ตาบใดที่ฉันยังหายใจอยู่ ฉันจะไม่ละเลยการวิ่ง และฉันจะวิ่งอย่างสม่ำเสมอ ขอบใจนะการวิ่ง ขอบใจที่เข้ามาเปลี่ยนชีวิตใหม่ให้กับฉัน ขอบคุณจากใจจ้า ^O^


Norarat Jeab
21-06-57


ปล. ทุกเรื่องที่เจี๊ยบเขียน เขียนออกมาจากใจจริง ๆ นะ ขอบคุณที่อ่านกันนะคะ เจี๊ยบพยายามปรับ ไม่เขียนติดกันเยอะเกินไป และจะพยายามตรวจคำผิดก่อนโพส

ปล.2 ดีใจนะที่มีคนอ่านด้วย เจี๊ยบก็เกรงใจเพราะมันยาว บางเรื่องรายละเอียดมันเยอะ เจี๊ยบไม่อยากแบ่งเป็น 2 เรื่อง เพราะความรู้สึกและอารมณ์ในการถ่ายทอด มันจะไม่ต่อเนื่อง และอาจจะไม่ได้อารมณ์อยากเขียนอีกแบบตอนนั้นอีก

ปล.3เวลาเขียนเจี๊ยบจะเขียนจากอารมณ์อยากเล่า จริง ๆ นะ ตอนแรกเจี๊ยบกะว่า จะเขียนไว้อ่านคนเดียว แต่เรามีสิ่งดี ๆ ทำไมเราไม่แบ่งคนอื่นได้อ่านหล่ะ แค่มีคนอ่านเจี๊ยบก็ดีใจมากแล้ว ยิ่งถ้าเขาสนุกและชอบในสิ่งที่เราเขียน และเรื่องที่เจี๊ยบมันเป็นสิ่งที่เจี๊ยบได้ทำจริง ๆ รู้สึกแบบนั้นจริง ๆ และมันเกิดจากสิ่งที่เจี๊ยบได้เรียนรู้จริง ๆ ได้ทำจริง ๆ ได้สัมผัสจริง ๆ มันคือความสุขเล็ก ๆ ที่เจี๊ยบได้เรียนรู้ด้วยตัวเองทำไมเราไม่แบ่งคนอื่นหละ เจี๊ยบคิดแค่นี้จริงๆ ^O^

ปล.4  เจี๊ยบไม่ใช่คนเก่งจริง ๆ เจี๊ยบยังต้องเรียนรู้อีกเยอะ ขอบคุณทุก ๆ คนจริง ๆ ที่ตามอ่าน ขอบคุณจากใจค่ะ